จะมีภูผาใด หรือทวีปใดที่รับการสูญเสียเช่นนี้ได้
รัฐออนตาริโอ
ผมโตมาในป่าผลัดใบอันกว้างใหญ่ในรัฐออนตาริโอ ด้านหนึ่งของบ้านหันหน้าไปหาทางลาดไปสู่บึงขนาดใหญ่ อีกด้านหันไปหาสันเขาน้ำแข็งที่ถูกปรับปรุงเป็นรีสอร์ทสำหรับเล่นสกี เกือบทุกที่ระหว่างทางเป็นบ้านแบบชนบทที่มีใบโคลเวอร์ร่วงมาปกคลุมหลังคา มีทางแยกสี่ทาง กับถนนที่มีทางเข้าออกทางเดียวที่มีชื่อเรียกคล้ายๆ กันว่า Forest Hills หรือ Acorn Lanes บ้านส่วนใหญ่ถูกสร้างในระหว่างช่วง 30 ปีที่คนค่อยๆ หนีออกมาอยู่ชานเมือง ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในทุกที่ในอเมริกาตอนเหนือในช่วงที่มีการลดอุตสาหกรรมของเศรษฐกิจแบบทรัพยากรลง ในเวลาเดียวกันนั้นก็มีการย้ายและขยับขยายจากแถบบ้านนอกไปสู่ชานเมืองเนื่องจากการทำเกษตรกรรมกลายเป็นอุตสากรรมขนาดใหญ่และทำให้การเกษตรเล็กๆ ต้องอพยพออกไป ป่าส่วนใหญ่ที่ผมรู้จักก็เกิดขึ้นในช่วงของกระบวนการนี้ ป่าหลายๆ แห่งเป็นป่าที่เกิดขึ้นจากการทำฟาร์มต้นสน ค่อยๆ ปลูกในรูปแบบช่องสี่เหลี่ยมเหมือนกับถนนในเมืองแมนฮัตตัน รูปแบบที่ซ้ำๆ กันเป็นขนาดใหญ่บ่งบอกถึงต้นกำเนิดทางอุตสาหกรรมของมัน แนวป่าแบบสี่เหลี่ยมติดกับถนนเข้าออกทางเดียวพร้อมกับพื้นที่เล็กๆ ที่ไร้การปรับปรุง รวมกับพื้นที่ของรัฐที่เป็นสวนสาธารณะและเขตสงวน รอยปะกระจัดกระจายเหล่านี้รวมตัวกันอย่างทุลักทุเลเป็นก้อนแห่งความทรงจำ
ในช่วงวัยรุ่น ผมและเพื่อนๆ โดนดึงดูดเข้าไปหาป่าที่กว้างใหญ่และเก่าแก่ ในป่าไม่มีกฏระเบียบและเป็นที่ที่เราสามารถหนีความรับผิดชอบไปหาได้ เวลากลับมาหาป่าคือช่วงสุดสัปดาห์ที่ไปตั้งแคมป์ หรือเวลาพระอาทิตย์ตกดินในวันธรรมดาที่ความมืดไล่เรากลับบ้าน พวกเราทำให้ป่าเป็นเหมือนบ้านด้วยการนำความไร้กฏระเบียบนั้นติดตัวกลับมาด้วย พวกเรากลับไปหาต้นไม้ที่ตายแล้วต้นเดิมเพื่อที่จะดันส้นเท้าเข้าไปเนื้อเน่าๆ ข้างใน กลับไปยังที่ตื้นๆ ที่เดิมของลำธารเพื่อจะหยิบก้อนหินแถวนั้นมาโยนเข้าไปในป่าให้ได้ยินเสียงทึบๆ เวลาหินกระทบกับต้นไม้ ในป่ายังมีบ้านต้นไม้ที่ถูกทิ้งร้างไว้ สร้างด้วยแผ่นไม้ขึ้นราสองสามแผ่นที่พวกเราเอาไว้นั่งคุยกันหรือนอนฟังเสียงใบไม้ไหว เราทำให้ตัวเองคุ้นเคยกับโครงสร้างของป่าด้วยการค่อยๆ เดินออกจากทางเดินปกติแล้วไปผจญภัยหาทางใหม่ๆ แรงผลักดันบางทีก็มาจากจากความเบื่อหน่ายหรือบางครั้งในโอกาสพิเศษที่พาเพื่อนใหม่เดินเข้าป่า
การทำให้ตัวเองคุ้นเคยกับป่าดำเนินต่อไปบางทีด้วยกลยุทธ์แปลกๆ เพื่อนผมคนหนึ่งชื่อ Nick บ้านอยู่ไม่ไกลจากบ้านผมนัก บ้านเราสองคนเชื่อมต่อกันด้วยทางรถไปที่เรามักจะเดินตามทางมาเจอกัน ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง ระหว่างทางอีกฟากหนึ่งเป็นกำแพงต้นไม้ของป่า และอีกฟากเป็นกำแพงคอนกรีตขีดเส้นแบ่งชานเมือง ระหว่างเดินเรามักจะคุยกันไปพร้อมกับเหยียบบนเศษทางรถไฟอันที่สองหรือสามเป็นจังหวะ หรือไม่ก็พยายามที่จะทรงตัวไปตามทางรถไฟที่เป็นเหล็ก บ่ายวันหนึ่ง Nick เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นสองสามวันก่อนหน้าให้ผมฟัง เหมือนกับไว้ใจบอกความลับแต่ก็มีความกังวลและเหมือนกับอยากอวดด้วยกลายๆ เราสองคนคุยกันได้ในแบบที่จริงใจแต่อาจจะไม่เต็มที่นักสำหรับบางเรื่องที่ละเอียดอ่อน บทสนทนาของเราค่อยๆ เสาะหาความแตกต่างระหว่างความละอาย ศักดิ์ศรีและอารมณ์ขัน Nick เล่าว่าสองสามวันก่อนหน้านั้นเขาไปเดินเล่นในป่าและเปิดเพลงดังๆไปด้วย จิตใจแทบไม่ได้จดจ่ออยู่กับสถานที่แต่เหมือนล่องลอยฝันกลางวันอยู่ Nick ใจล่องลอยถึงโรงเรียน ถึงรูปการ์ตูนที่เต็มไปด้วยลูกมะกอกที่เพิ่งวาดไป แต่แล้วแบตเตอรี่เครื่องเล่นเพลงก็หมดดึงความจดจ่อของเขาให้กลับมาอยู่ในป่าอีกครั้ง เสียงของป่าอื้ออึงไปด้วยเสียงของกิ่งไม้หักและเสียงกรอบแกรบของใบไม้ เขาถูกปกคลุมด้วยความรู้สึกสันโดษและความเปิดกว้างในเวลาเดียวกัน ไม่งั้นก็คือความรู้สึกแปลกๆ ของการอยู่ข้างนอกแต่กลับเป็นส่วนตัวอย่างที่สุด เวลานั้นเป็นเวลาหน้าร้อนที่ฟ้าเปิดและสว่าง Nick จมลงไปในความรู้สึกนั้น มือค่อยๆ ปลดกางเกงในขณะที่ยังไม่แน่ใจในตัวเองเท่าไหร่และกังวลว่าจะมีใครโผล่มา โสตประสาทคอยฟังเสียงทุกเสียง กิ่งไม้ทุกกิ่งที่หักและใบไม้ทุกใบที่สั่นไหว Nick เริ่มใช้มือสัมผัสเนื้อตัว ความรู้สึกสลับไปมาระหว่างสภาวะนิรนามและความกลัวว่าจะโดนลงโทษหรือคนแปลกหน้าจะโผล่เข้ามา จนถึงจุดที่ป่าถูกกลืนหายไปอีกครั้งเหลือเพียงตัวเขาที่อยู่ลำพังกับความสุขสม เขาช่วยตัวเองจนเสร็จและปล่อยให้มันหยดลงบนผืนป่า ทันใดนั้นเสียงของกิ่งไม้และนกต่างๆ ก็หวนกลับมาท่ามกลางความสงบและในระหว่างที่เขาเองอยู่ในสภาพแก้ผ้า ชีวิตที่ดำเนินอยู่บนผืนป่ากลับมาอยู่ในโฟกัสอีกครั้ง ทั้งโลกของมดและเห็ด พื้นผิวของเปลือกไม้ที่ใช้มือสัมผัสได้ Nick หันไปมองรอบๆ อีกครั้ง สายตาสอดส่องว่ามีคนแอบมองหรือไม่ด้วยความรู้สึกผิดที่มาพร้อมกับความรู้สึกเบิกบาน ในความเงียบของบ่ายนั้นเองเขาดึงกางเกงขึ้นพร้อมกับถอนหายใจ ก่อนที่จะค่อยๆ ออกเดินต่อ
ภูเขาคินาบาลู
ในเดือนมิถุนายนปีค.ศ. 2015 กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวยุโรปและอเมริกาเหนือไปเดินป่าที่ภูเขาคินาบาลู ยอดเขาที่นับว่าเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย เมื่อถึงยอดเขาแล้วกลุ่มนักท่องเที่ยวนี้ก็เปลื้องผ้าออกและทำการถ่ายรูปหมู่ ด้วยท่าที่หันหลังให้กับกล้องและหันหน้าไปหาหุบเขาที่อยู่ด้านล่าง ไม่กี่อาทิตย์หลักจากนั้นเกิดแผ่นดินไหวขึ้นบนภูเขาและคร่าชีวิตไกด์นำเที่ยวและผู้เดินป่าหลายคนแต่ไม่มีนักท่องเที่ยวเสียชีวิต ระหว่างการช่วยเหลือนั้นเองที่รูปของกลุ่มนักท่องเที่ยวได้ถูกปล่อยออกมาทำให้เกิดการคาดคะเนว่ามีอะไรเชื่อมโยงระหว่างการเปลื้องผ้ากับแผ่นดินไหว รัฐมนตรีการท่องเที่ยวในเมือง Sabah แคว้น Kinabalu ออกมาให้ความเห็นว่าความไม่ระมัดระวังของนักท่องเที่ยวนี่เองที่ทำให้พระเจ้าแห่งภูเขาพิโรธ คนท้องถิ่นจึงอยากให้มีการเอาคืนและให้นำตัวนักท่องเที่ยวมาขึ้นศาล ส่งผลให้ตำรวจมาเลเซียทำการจับกุมนักท่องเที่ยวเหล่านั้นในขณะที่พวกเขากำลังพยายามหนีออกจากประเทศ
ในระยะเวลาไม่นานนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ก็ได้ไปต่อสู้คดีในศาลเพราะการประโคมข่าวของสื่อต่างๆ ทั้งในประเทศมาเลเซียและต่างประเทศ หน้าปกของหนังสือแทบลอยด์ของประเทศอังกฤษ The Sun ได้พาดหัวว่า “นมของพวกหล่อนทำให้พระเจ้าพิโรธ” ทนายความชาวมาเลเซีย Ronny Cham ที่ผ่านการฝึกอบรมมาจากประเทศอังกฤษและมีอาชีพว่าความในเมือง Sabah มาตั้งแต่ช่วงต้นยุค 80 เข้ามารับบทเป็นทนายและกดดันให้เหล่านักท่องเที่ยวยอมสารภาพผิดไม่เช่นนั้นจะต้องเข้าไปต่อสู้ในศาลที่อาจใช้เวลาตั้งแต่หกเดือนถึงหนึ่งปีรวมถึงเสี่ยงนอนคุกโดยไม่มีประกันอีกด้วย เหล่านักท่องเที่ยวโดนปรับคนละประมาณ 1000 เหรียญสหรัฐและถูกจำคุกไม่กี่คืนและเนรเทศออกจากประเทศ ทนาย Cham เป็นคนที่ศรัทธาในศาสนาคริสต์และตอบคำถามที่ผมได้สอบถามเกี่ยวกับความเชื่อมโยงของการเปลื้องผ้ากับแผ่นดินไหวว่า “ผมบอกคุณได้ว่าไบเบิลพูดเกี่ยวกับแผ่นดินไหวว่าอะไร แต่มันเป็นสิ่งที่คนไม่สนใจกัน อย่างไรก็ตามแต่แผ่นดินไหวจะเกิดขึ้นได้เหรอถ้าไม่เป็นเพราะพระเจ้าเป็นผู้เคลื่อนรากฐานของโลกนี้รวมถึงสวรรค์ด้วย ภูเขาคินาบาลูน่ะโดนทั้งเขย่า โดนทลายเป็นเสี่ยงๆ และขยี้จนชอกช้ำไปหมด”
ท่ามกลางเหตุการณ์เหล่านี้มีผู้ชายชื่อว่า Emil Kaminski โผล่ขึ้นมา เขาคือเกรียนอินเตอร์เน็ตหัวดื้อและอ้างว่าตัวเองเป็นนักวิจารณ์วัฒนธรรมต่อคน 10,000 คนที่ตาม YouTube ของเขา วีดีโอส่วนใหญ่ก็คือเขาและเพื่อนๆ ท่องเที่ยวไปทั่วโลกและปฏิเสธที่จะแสดงความเคารพต่ออะไรทั้งสิ้น พวกเขาเคลื่อนตัวไปทั่วโลกด้วยความจับจดของเหล่าผู้ล่าอาณานิคมในยุคศตวรรษที่สิบเก้าผสมรวมกับความเป็นลูกผู้ชายฉบับทีวีโชว์ Jackass และความเป็นกบฎเท่าที่ผมทรง faux hawk จะให้ได้ บนหน้า Facebook และ YouTube ส่วนตัว Kaminski ได้เสนอตัวเองเข้ามาพัวพันกับคำกล่าวหาคดีนักท่องเที่ยวที่กำลังจะคลี่คลายด้วยการโพสต์รูปแก้ผ้าของตัวเองบนภูเขาที่เขาอ้างว่าเป็นภูเขาคินาบาลู ถึงแม้ว่าจะไม่เคยได้ไปจริงก็ตาม Kaminski ถือว่าเป็นหน้าที่ของตนที่ต้องเข้ามาแทรกแซง นอกจากนี้เขายังทำคลิปวีดีโอพร้อมกับใส่ความคิดเห็นตัวเองเพื่อที่จะดูถูก “ความโง่เง่า” ของชาวมาเลเซียพร้อมกับวิจารณ์อย่างรุนแรงถึง “ความงมงาย” ด้วยความภาคภูมิใจและความมั่นใจว่าตัวเองถูก ราวกับตนเองคือนักชีววิทยาชื่อดัง Richard Dawkins เขาพูดในหนึ่งในโพสต์เหล่านี้ว่า “ช่างวัฒนธรรมมึงสิ” โดยอ้างว่าคนเหล่านี้ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับทฤษฎีการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกหรือว่าไม่รู้ว่าพระเจ้านั้นไม่ได้มีอำนาจบนโลกนี้อีกต่อไปแล้ว ความเกรียนนี้ได้ดึงดูดคนมาเลเซียให้เข้ามาให้ความเห็นอันคับข้องใจเป็นพันๆ ความเห็นรวมถึงคำขู่ด้วยความรุนแรงอีกมากมายบนหน้า Facebook เป็นอันว่า Kaminski สามารถเพิ่มชื่อเสียงของตัวเองไปได้อีกด้วยการประโคมเรื่องรูปนู้ดในข่าว ซึ่งสร้างความเข้าใจผิดให้คนส่วนใหญ่ว่า Kaminski เป็นหนึ่งในนักท่องเที่ยวกลุ่มที่เปลื้องผ้าด้วย
ห้าวันให้หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว เขาได้โพสรูปตัวเองที่ผ่านการตัดต่อลง Facebook ส่วนตัว เป็นรูปของเขาในสภาพเปลือยด้านบน ใส่กางเกงขาสั้นลายพรางและมือสองข้างถือปืน แขนทั้งสองเหยียดออกขณะที่ตัวเขายืนเผชิญหน้ากับหุบเขา ฉากหลังเป็นเปลวไฟปลอมจากการตัดต่อ มีเครื่องบินรบหลายลำตกอยู่พร้อมกับตัว Godzilla โผล่หน้าออกมาจากขอบฟ้าให้เห็น
ในช่วงต้นของยุค 90 นั้นมีนักสังคมวิทยาและนักมนุษย์วิทยาที่ชื่อว่า Bruno Latour ได้ตีพิมพ์หนังสือชื่อว่า มนุษย์เราไม่เคยทันสมัย (We Have Never Been Modern) ที่มีคำโต้เถียงหลักว่าความสมัยใหม่ของฝั่งตะวันตกนั้นถูกสร้างขึ้นมาจากความคิดที่ว่าระหว่างธรรมชาติและสังคมมีความแตกต่างทางพื้นฐานอยู่ Latour ได้เรียกสิ่งนี้ว่าเป็น “รากฐานแบบสมัยใหม่” รากฐานนี้ถึงแม้จะถูกริเริ่มในห้องโถงและห้องประชุมด้านหลังของแต่ละรัฐแล้ว มันยังถูกหมุนเวียนผ่านห้องวิจัยทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ และปฏิบัติโดยตลอด ในทางหนึ่ง วิทยาศาสตร์มองวิทยาศาสต์ว่ามันคือการเข้าถึงโลกทางธรรมชาติและนำมันกลับมาสู่โลกของมนุษย์ และในอีกทางหนึ่งก็มีการเมืองที่คอยวุ่นอยู่กับการปฏิบัติการของมนุษย์และสิ่งที่เรียกกันว่าทางสังคม สองสิ่งนี้ไม่เคยมารวมกันได้ รากฐานนี้จึงสร้างฐานความแตกต่างที่เรามักจะยึดถือไว้ระหว่าง “ธรรมชาติ” และ “วัฒนธรรม” หนังสือเล่มนี้มีจุดประสงค์ที่จะมองไปยังความแตกต่างนี้ว่ามันผิดพลาดแค่ไหน ถึงแม้ว่ารากฐานนี้จะถูกส่งผ่านมาหลายต่อหลายสมัยของนักสังคมวิทยา นักการเมือง และนักวิทยาศาสตร์ เปรียบเหมือนกับกระดาษที่ถูกพับเก็บไว้ในกระเป๋าเงินและแนบไว้กับรูปครอบครัวซ้ำแล้วซ้ำอีก ถึงแม้อย่างนั้น รากฐานนี้ก็ไม่เคยอธิบายความเป็นจริงได้อย่างสมควร สิ่งที่มาแทนที่คือทั้งวิทยาศาสตร์และการเมืองได้สร้างความเชื่อมโยงในแบบต่างๆ ระหว่างธรรมชาติและวัฒนธรรมที่ผลลัพท์กลายเป็นการผสมผสานแบบไร้ศีลธรรมและสัตว์ประหลาด Frankenstein สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่เป็นผลงานที่แท้จริงของรากฐานแบบสมัยใหม่ที่คอยอ้างว่ามีการแบ่งแยกและพยายามควบคุมโลกต่างๆ ขณะที่คอยผลิตลูกผสมระหว่างธรรมชาติและวัฒนธรรมไปด้วย ความคิดนี้ไม่สามารถที่จะตระหนักถึงความจริงได้ เพราะขาดความรู้ในวิธีที่จะมองหาหรือพูดถึงทั้งธรรมชาติและทั้งวัฒนธรรม
Kaminski เป็นหนึ่งในตำรวจที่คอยควบคุมรากฐานแบบสมัยใหม่นี้ ถ้าจะพูดให้ถูกกว่านั้นก็อาจจะเรียกได้ว่าเขาเป็นแค่ยามจากคำพูดที่ว่าโซ่ที่เชื่อมโยงระหว่างร่างกายที่เปลือยเปล่า พระเจ้า และการเคลื่อนตัวของพื้นโลกนั้นเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาทั้งหมด สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยรากฐานแบบสมัยใหม่ เมื่อธรรมชาตินั้นถูกขีดให้อยู่อีกฝั่งหนึ่งด้วยกฏประหลาดๆ ของมันและวัฒนธรรมอยู่ในฝั่งตรงข้าม สองสิ่งนี้จึงไม่สามารถมาผสมกันได้ Kaminski จึงได้ปรากฏตัวมาไล่ส่วนผสมที่ไม่ดีออกไปและพยายามไล่เรียงโซ่แห่งความเชื่อมโยงให้ถูกต้อง แยกระบบของโลกใบนี้ออกจากศาสนา การกระทำทางสังคม มันไม่ใช่สิ่งที่น่าแปลกใจเลยว่าการกระทำเหล่านั้นคือความรุนแรง การบังคับใช้ของรากฐานแบบสมัยใหม่จึงมักจะเป็นการกระทำแห่งการชะล้าง การปลดเปลื้อง และเปิดโปงทุกสิ่ง นี่เป็นแนวคิดสมัยใหม่ที่มีต่อความจริง ว่าความจริงนั้นคือการเปลือย และเมื่อใดที่เราได้เปิดเผยต่อธรรมชาติว่าจริงๆ แล้วธรรมชาติคืออะไร เราทุกคนก็จะเข้าใจเพราะว่าทุกสิ่งจะถูกเปิดมาแสดงให้เห็นต่อหน้าต่อตา หากเป็นเช่นนั้นแล้ว จะไม่มีพื้นฐานใดๆ หลงเหลือไว้ให้กับความไม่เห็นด้วย เพราะว่าความจริงก็ไม่ต่างจากการเปลื้องผ้าว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ ยกเว้นแต่ว่าอย่างที่ Kaminski ได้กล่าวไว้ว่ายกเว้นในกรณีที่คุณเป็นคนโง่
แต่รากฐานแบบสมัยใหม่ไมได้เป็นแบบนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นคือสิ่งมีชีวิตของธรรมชาติมีไว้ตบตาและไม่ยอมเปิดเผยตัวตน ไม่ยอมเปลื้องผ้าและเปลือย ธรรมชาติมักจะสร้างความสัมพันธ์อันใกล้ชิดต่อสิ่งที่แตกต่าง นี่คือสิ่งที่ Darwin กล่าวไว้ Darwin ที่เป็นเกย์ Darwin ในขณะที่เดินทางบนเรือ HMS Beagle และเขียนหนังสือเรื่อง The Orign of Species นี่คือ Darwin ในช่วงชราและหนอนของเขา เขาได้กล่าวว่าธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ไปด้วยการผสมผสาน ไม่ใช่แค่รูปแบบทียึดติดไว้ ธรรมชาติเต็มไปด้วยความซับซ้อนจนวิชาแบ่งหมวดหมู่ของธรรมชาติเป็นได้แค่เพียงเรื่องแต่ง และอีกไม่นานก็กลายเป็นแค่เรื่องเล่าที่หมดสมัยและฟังดูเหมือนเรื่องเพ้อฝันในที่สุด
การจะมองให้ไกลกว่ารากฐานแบบสมัยใหม่ได้ ผมแนะนำว่าเราควรจะเปลี่ยนวิธีคิดให้ใกล้เคียงกับแผ่นดินไหว เพราะมันจะขยับเราให้เข้าใกล้ความเข้าใจต่อภาพของการเปลือยในธรรมชาติได้มากขึ้น
ภูเขาคินาบาลูเป็นภูเขาแบบหินแกรนิตและหินอัคนี บนภูเขาจะมีหินหลอมละลายที่เย็นลงแล้วดันขึ้นมาผ่านแต่ละรอยแยก ภูเขานี้ยังคงมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดแผ่นดินไหวอีกเนื่องจากตำแหน่งของมันที่อยู่บนแผ่นธรณี Sunda ซึ่งเป็นแผ่นธรณีที่ไม่ค่อยดีนักสำหรับภูเขา จากฟากตะวันออกแผ่นธรณีของประเทศฟิลิปปินส์นั้นจมอยู่ข้างใต้แผ่นซุนดาและเป็นตัวผลักแผ่น Sundaให้อยู่ข้างบนและหันไปทางตะวันตก จากทางใต้มีแผ่นธรณี Molucca และ Banda ดันให้แผ่น Sunda ไปทางเหนือ ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้มีแผ่นธรณีขนาดใหญ่ชื่อว่า Indo-Australian ที่ผลักแผ่นซุนดาให้ไปทางเหนือเช่นกัน ประหนึ่งว่าแผ่นธรณีเหล่านี้หนีบแผ่นซุนดาไว้ทุกๆ ด้านและบีบให้แน่นขึ้นตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อแรงกดมาถึงจุดๆ หนึ่ง แรงบิดภายในและการเลื่อนไหลจะถูกส่งผ่านแผ่นดินขึ้นไป หินจริงๆ แล้วก็เป็นแค่ของเหลวที่เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ถ้าหากตัดเรื่องของระยะเวลาออกไป การแตกแยกของแผ่นดินนั้นก็เป็นลักษณะเดียวของมหาสมุทร ถ้าตัดความรู้สึกจากการวัดแรงสั่นสะเทือนด้วยเครื่องมือตรวจจับออกไป ก็จะรู้สึกได้ว่าการเคลื่อนไหวนั้นเหวี่ยงไปมาด้วยแรงคลื่น สิ่งที่เรียกว่าแผ่นดินไหวเป็นแค่ก้อนหินที่กำลังทำตัวเสมือนคลื่นในมหาสมุทร อีกสิ่งหนึ่งที่เหมือนกับมหาสมุทรก็คือคลื่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเวลา เพียงแค่บางครั้งเป็นคลื่นขนาดใหญ่เท่านั้น แผ่นดินไหวจึงเป็นเพียงแค่คลื่นขนาดใหญ่เดินทางผ่านก้อนหินประหนึ่งมันมีน้ำหนักเบาเหมือนไม้ ภูเขาคินาบาลูก็เป็นหนึ่งในคลื่นที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ ที่บางครั้งคลื่นอื่นๆ ก็เข้ามาชนและทำให้เกิดผลกระทบที่ไปไกลกว่าเดิม
การมีอยู่ที่ยาวนานของการล่าอาณานิคมบนภูเขาคินาบาลูนั้นได้ทำให้พื้นที่ขนาบข้างภูเขามีความเจริญ แบ่งเป็นถนน ที่กางเต๊นท์ และเชื่อมต่อไปยังตัวเมือง และเกิดถนนหนทางที่ต่อเนื่องและเอื้อในการสังเกตุส่วนประกอบต่างๆ ของดอกไม้และสัตว์ในพื้นที่ ในขณะที่การเดินทางขึ้นไปบนที่สูงนั้นเป็นสิ่งที่พบได้ยากของกลุ่มชนพื้นเมืองและกลุ่มคนจีนที่มาบุกเบิกในยุคก่อนหน้าการล่าอาณานิคม อาจจะพูดได้ว่ารสชาติของการเดินทางขึ้นยอดเขานั้นเป็นสิ่งประดิษฐ์โดยเฉพาะของชาวยุโรปในยุคศตวรรษที่สิบเก้า ถึงแม้ว่าภูเขานั้นจะมีบทบาทในเรื่องสมมติที่พบได้ในหลายๆ ประเพณี แต่ผู้คนก็ไม่ได้เริ่มปีนขึ้นภูเขาเพื่อที่จะไปดูว่ามีอะไรอยู่ข้างบน (มีข้อยกเว้น) จนถึงยุคที่จักรวาลประสบปัญหาและศาสนาคริสต์เสื่อมศรัทธา1
ต่อเนื่องจากจุดนี้ การเดินทางขึ้นเขาครั้งแรกของชาวยุโรปที่ได้บันทึกไว้สู่ยอดเขาคินาบาลูได้ทิ้งระบบการตั้งชื่อว่าด้วยภูมิประเทศไว้เป็นชื่อของเจ้าหน้าที่ นายทุน และเจ้าขุนมูลนาย เช่น Low’s Peak หรือ King George Peak หรือ Victoria Peak หรือ St. John’s Peak นักธรรมชาติวิทยาและผู้บริหารอาณานิคมนามว่า Sir Hugh Low และที่ปรึกษาของเขาจากประเทศบรูไนนามว่า Sir Spencer St. John ได้ทำการเดินทางขึ้นยอดเขาหลายต่อหลายครั้งเพื่อชมวิวและเก็บตัวอย่างพืชและแมลง ในระหว่างปีค.ศ.1850 ถึงปีค.ศ.1950 มีการนับว่าอย่างน้อยมีการเดินทางขึ้นยอดเขาเป็นกลุ่มใหญ่อย่างน้อย 53 ครั้งจากผู้ล่าอาณานิคมจากประเทศอังกฤษ ฮอล์แลนด์ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และเดนมาร์ก ยังไม่รวมถึงการท่องเที่ยวหรือการเดินขึ้นยอดของกลุ่มเล็กๆ และนักท่องเที่ยวกว่าร้อยๆ คนในทุกๆ ปีในช่วงหลังของศตวรรษที่ยี่สิบและยี่สิบเอ็ด จำนวนการเดินขึ้นยอดห้าสิบครั้งนั้นจึงเป็นตัวเลขที่ประมาณไว้ต่ำไปมาก
การเดินทางในแต่ละครั้งนั้นนำมาซึ่งการเก็บตัวอย่างที่มีคุณค่าเสมอ ยกตัวอย่างเช่นในปีค.ศ. 1887 John Whitehead ได้จับนกมาจำนวน 300 ตัว ในปี 1892 G.D. และ H.A. Havilland เก็บตัวอย่างพืชมาอย่างน้อย 197 ชนิด ต่อมาในปี 1925 C.M. Enriquez ได้เก็บผีเสื้อจำนวน 218 ตัว นก 140 ตัว สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก อีกจำนวน 17 ตัว ไม่นับพืชชนิดมอส แมลง และแมงมุมนับจำนวนไม่ได้ ต่อมาในปี 1904 Goss และ Dodge ได้ขึ้นไปเก็บหนังสัตว์มาอย่างน้อย 47 ชนิด ในปี 1910 Gibbs และ Maxwell เก็บพืชมา 1000 ชนิด ในปี 1995 Clemens และ Topping เก็บกล้วยไม้และต้นเฟิร์นมาอย่างน้อย 255 ชนิด ในปี 1933 Carr เก็บพืช 1000 ชนิด และในปี 1937 Griswold เก็บนกมาอีก 93 ตัว จำนวนทั้งหมดรวมกันกว่า 2,967 ตัวอย่างนี้เป็นแค่ตัวเลขหยาบๆ และน่าจะเป็นการรวมรวมที่น้อยกว่าความจริง ในการเดินทางขึ้นยอดเขาแต่ละครั้งมีการเก็บตัวอย่างทั้งพืชและสัตว์เป็นจำนวนมหาศาล ก่อนที่จะถูกส่งไปยังสวนพฤกศาสตร์ พิพิธภัณฑ์ และภาควิชาของมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วโลก
คตินิยมทางสากลของภูเขาคินาบาลูนี้ได้กำหนดระบบนิเวศน์ของภูเขาไปด้วย ในขณะที่นักท่องเที่ยวเดินวนตามทางไปในภูเขา พวกเขาก็ได้สร้างทางเดินให้สัตว์ป่าที่อยู่บริเวณพื้นที่ต่ำให้ไปอยู่ในบริเวณพื้นที่สูงไปพร้อมๆ กัน ยกตัวอย่างเช่นหนูที่ได้เข้าไปบุกรุกพื้นที่ยอดเขาไปแล้ว ในการเดินทางหนึ่งในปีค.ศ. 1969 นักธรรมชาติวิทยาบรรยายไว้ในการเจอสิ่งต่อไปนี้จากคตินิยมทางสากลแบบใหม่
นอกจากนี้ ไก่ก็ยังมีบทบาทในทางกลับกันของภูเขาคินาบาลู ผู้คนบางกลุ่มตอบรับเรื่องที่นักท่องเที่ยวแก้ผ้าด้วยคำกล่าวว่าชาวบ้านในหมู่บ้านจะต้องสังเวยไก่ให้แก่พระเจ้าแห่งขุนเขาเพื่อเป็นการขอขมา Kaminski มองว่าความคิดนี้เป็นสิ่งพิสูจน์ความคร่ำครึของเมือง Sabah อย่างไรก็ตาม ในประวัติศาสตร์ของการเดินทางขึ้นยอดเขา ชาวยุโรปมักจะต้องจ่ายค่าไกด์ให้กับคนของหมู่บ้านด้วยไก่เป็นๆ อยู่บ่อยๆ จนถึงการเดินเขาระยะสั้นทางวิชาการในช่วงปี 60 ครั้งหนึ่งที่เริ่มจุดประกายให้คนสงสัยว่าอาจจะเป็นไปได้ที่นักเดินทางกำลังถูกหลอก ไม่มีใครเคยเห็นการฆ่าไก่เกิดขึ้น หรือว่าพวกเขาเก็บไก่เอาไว้เลี้ยงกันแน่ การจ่ายค่าปรับให้กับพระเจ้าจึงเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่ยอดเยี่ยมที่เหล่าชาวยุโรปที่ “มีความเคารพ” ยากที่จะปฏิเสธ
การเดินทางและการเก็บของที่ระลึกของเหล่าผู้ล่าอาณานิคมที่มาเยือนมีเหตุผลกว้างๆ อยู่ในนามของการเปิดเผยกลไกของธรรมชาติ แต่ในขณะที่พวกเขาไปค้นหาเขาก็ไปปฏิรูปสภาวะต่างๆ ให้เป็นแบบใหม่และสร้างการผสมผสานที่คาดไม่ถึง ความรุนแรงจากร่างกายอันเปลือยเปล่าของ Kaminski ที่พุ่งเข้ามาอย่างลนลาน พร้อมกับการโบกรากฐานแบบสมัยใหม่ไปมาเป็นหนึ่งในความเสื่อมของการตอบรับของข่าวนี้ ในเวลาที่แผ่นธรณีเคลื่อนตัวและบีบตัวนั้น มักจะก่อให้เกิดการทรุดตัวของการเผชิญหน้าเหล่านี้โดยที่ไม่มีการเปลื้องผ้าใดๆ มาเอาชนะได้ เมื่อถึงจุดที่มีหนูคอยเดินตามรอยเท้าและกัดคนเข้าที่คอและมาคอยกินอาหารคนและจุดที่ไก่มีไว้หลอกคน เมื่อนั้นร่างกายอันเปลือยเปล่าของคนก็กลายเป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหวได้ ทุกสิ่งเริ่มฟังดูมีเหตุผลในสิ่งที่ได้เกิดไปแล้ว ไม่เพียงแต่แผ่นดินไหวได้เขย่าความก้าวหน้าที่วางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบของเวลาเท่านั้น มันยังวนกลับไปในอดีตและดึงร่างกายอันเปลือยเปล่านั้นไปยังต้นกำเนิดและยังหลอกนาย Kaminski ด้วย เพราะแผ่นดินไหวฉลาดกว่าเขานัก
ผมเองหวังว่า Kaminski จะถูกตั้งข้อหาด้วย ให้เขาถูกพามาต่อสู้ในศาลและให้ภูเขาเข้ามาเป็นพยานยืนยันความผิด ผมหวังด้วยว่านักท่องเที่ยวจะต้องจ่ายค่าปรับเป็นไก่เป็นๆ จากโทษที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหว สิ่งนี้คือความอัจฉริยะของการเคลื่อนไหวของแผ่นธรณี
ภูเขาเอเวอร์เรสต์
ร่างของ George Mallory ถูกค้นพบในปีค.ศ. 1999 เป็นเวลา 75 ปีหลังจากที่เขาเสียชีวิต คนที่พบคือกลุ่มผู้ชีวิตยอดเขาเอเวอร์เรสต์ที่ไปเจอเข้า ร่างของเขานอนคว่ำ กะโหลกฝังเข้าไปในหิน ด้านหลังเปลือยเปล่า มองเห็นเป็นก้อนกลมๆ ขนาดใหญ่ เนื้อตัวยังหลงเหลือเป็นสีขาวเป็นประกาย คนที่พบบอกว่าเนื้อตัวของเขามองเห็นและสัมผัสราวกับหินอ่อน เสื้อผ้าของเขาขาดเป็นริ้วและชิ้นเนื้อส่วนขาหายไป เหลือเพียงแค่กระดูกที่มีรอยแตกแยกเป็นชิ้นเล็กๆ ที่เกิดจากการตกลงมา ทั้งการที่ร่างถูกซ่อนไว้และทั้งการที่ไม่มีอะไรกำบังจากสภาวะอากาศบนภูเขาที่มีทั้งหิมะ แสงแดด และลมที่เกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน ร่างของเขาถูกกัดกร่อนไปพร้อมๆ กับภูเขา การเปลือยของ Mallory ก็เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการย่อยสลายของร่างกายอย่างช้าๆ ร่างกายของเขาถูกจัดสรรและหมุนเวียนอีกครั้งไปทั่วโลก ปรัชญาว่าด้วยการกัดกร่อนนั้นกล่าวว่าโลกหมุนเวียนวัตถุต่างๆ ตลอดเวลา วัตถุเก่าๆ ถูกนำเข้าไปการจัดการและผสมผสานแบบใหม่ ทุกสิ่งทุกอย่างรวมถึงร่างกายของเราคือกระบวนการผสมผสานวัตถุระดับสูงสุด ในขณะที่ทุกส่วนของวัตถุได้เพิ่มอะไรใหม่ๆ บนโลกนี้รวมถึงสร้างสภาวะใหม่สำหรับการสร้างผลผลิตที่ใหม่ขึ้นไปอีก ร่างของ Mallory ตอนนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของภูเขา เปลือยเปล่าเช่นเดียวกับภูเขา ในเวลาที่ร่างนี้ถูกกัดกร่อนบนเทือกเขาหิมาลัยและส่งผ่านไปยังทะเลทรายโกบิ ร่างนี้ยังช่วยเติมเต็มอากาศที่เต็มไปด้วยฝุ่นในเมืองปักกิ่งและปลิวไปติดหน้ากากกันฝุ่นของผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังขับรถสกูตเตอร์ไปตามถนนในเมือง
ในจดหมายที่เขียนให้พ่อของเขาในช่วงต้นของชีวิต Mallory ได้เขียนว่า “รุ่นของผมโตมากับความสะอิดสะเอียนต่อการปรากฏตัวของอารยธรรมที่รุนแรงจนมันไปอยู่ในความไม่สะดวกใจในจิตวิญญาณ เป็นเหมือนกับอาการป่วยที่เราให้เราเป็นทุกข์ มันไม่ใช่ว่าเราแค่วิจารณ์ความชั่วร้ายที่เราเห็นและสนับสนุนความเคลื่อนไหวให้ปฏิรูปเท่านั้น แต่พวกเรายังรู้สึกถึงพลังความชั่วร้ายที่คำนวณไม่ได้ที่ถาโถมเข้ามาจนเราหมดสิ้นหนทางที่จะมีความสุขได้เลย”3 ภูเขานั้นต่อต้านอารยธรรมหรือไม่ บางทีเราอาจจะสามารถเล่าเรื่องนี้ในทางที่ต่างออกไปจาก “ภูเขาคือสถานที่ที่เอาไว้พักผ่อนไม่ก็หลบหนี” และเอาภูเขากลับมาเป็นศูนย์กลางของสังคมโดยที่ยังคงอยู่ซึ่งการจำกัดภายใน เช่น จำกัดการจัดการและการสลายตัว จำกัดการกัดกร่อน
When he was young, Mallory wrote: “I am deeply interested in my nude self.” In a photograph that Duncan ในช่วงวัยหนุ่ม Mallory ได้บันทึกไว้ว่า “ผมสนใจตัวเองอย่างมากในขณะที่เปลือยเปล่า” ในรูปถ่ายของ Mallory ที่ Dancan Grant ได้ถ่ายไว้ขณะที่เขาเพิ่งเรียนจบจากแคมบริดจ์ Mallory เปลื้องผ้าและปีนไปอยู่บนพื้นผิวในจินตนาการ ภาพนี้เป็นหนึ่งในภาพชุดที่ Grant ได้ส่งไปให้ John Maynard Keynes ที่เป็นคู่รักขาประจำของเขา เพราะรู้ว่า Keynes น่าจะสนใจในการปีนป่ายที่สวยงามและหนุ่มแน่นนี้ ร่างกายของเขาอยู่ในรูปของภูเขาที่ไม่มีอยู่ในนั้น เป็นแผนภาพแห่งเนื้อหนัง และยังไม่พอ Grant ยังได้นำรูปร่างของ Mallory ไปอยู่บนม่านในฉากกั้นที่มีไว้ให้คนเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ส่วนใหญ่มีลายเป็นภาพวิวทิวทัศน์ ภาพเหล่านี้เข้าไปอยู่ภายในจากภายนอก ที่ซึ่งผู้คนเปลื้องผ้าหรือเปลี่ยนเสื้อผ้า
หุบเขาซานด์ เฟอร์นานโด
ฟิล์มบันทึกภาพถูกทำลายลงในกองไฟที่ปะทุขึ้นมาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ภาพเหล่านั้นเป็นของ Lilian และ Charles Richter ขณะเดินป่าด้วยร่างกายเปลือยเปล่าในหุบเขา มีม้วนภาพมากมายที่มีภาพของการเดิน กระเป๋าสะพายหลัง ไม่มีเสื้อผ้า และป่าละเมาะ พวกเขาได้ใช้เวลาพักใหญ่ในที่พักของกลุ่มคนนิยมการเปลื้องผ้าที่โผล่ขึ้นมาในหุบเขาในยุคปี 30 พร้อมกับวัฒนธรรมการเปลือยกายของชาวเยอรมัน (Nacktkultur) พร้อมกับการเป็นมังสวิรัติและอากาศและน้ำที่บริสุทธิ์ ภาพม้วนแรกๆ เป็นภาพจากในที่พักของเหล่าผู้นิยมการเปลือยกายในเวลาตัดไม้ ขี่จักรยาน ทำอาหารค่ำ ถึงแม้ว่าในภาพไม่มีรูปของ Charles อยู่ แต่บ่อยครั้งเขาก็อยู่ที่นั่น
คนรู้จักเขามากกว่าจากการพัฒนามาตราฐานการวัด (ที่มีชื่อของเขาอยู่) ในการคำนวณขนาดของแผ่นดินไหวไม่ว่าจะเกิดขึ้นไกลจากเครื่องมือตรวจจับแค่ไหน ซึ่งก็เหมือนกับเครื่องวัดที่เป็นสากลอื่นๆ ที่ใช้เทคนิคว่าด้วยการแปล เครื่องมือนี้สร้างเครื่องหมายลงบนเครื่องวัดที่สามารถเปรียบเทียบและได้รับค่าที่เป็นสากลที่แปลออกมาเป็นขนาดได้ แผ่นดินไหวในทุกที่ๆ จึงสามารถถูกนำมาเปรียบเทียบจากค่าที่เครื่องวัดบันทึกไว้ได้
ในยุคก่อนหน้านั้น การที่จะทำความเข้าใจแผ่นดินไหวทำได้ในช่วงเวลาที่มันเกิดขึ้นและจากผลกระทบที่เหลือให้เห็นในอาคารและแผ่นดินที่แตกร้าว ในทวีปยุโรปและอาณานิคมของยุโรปเคยมีผู้คนที่คอยส่งรายงานแผ่นดินไหวที่พวกเขาได้บันทึกไว้เอง อธิบายระยะเวลาของแผ่นดินไหว ความรู้สึกขณะแผ่นดินไหวเกิดขึ้น และจุดที่แผ่นดินไหวเกิดขึ้น คำศัพท์มากมายถูกใช้ในการอธิบายความรู้สึกของการสั่นไหว รายงานเหล่านี้ถูกนำมาเปรียบเทียบโดยนักวิทยาศาสตร์และใช้ในการสร้างคำอธิบายในการเคลื่อนไหวของโลก ตัวอย่างเช่น แผนที่่แผ่นดินไหวในยุคแรกๆ ของประเทศสวิสเซอร์แลนด์เกิดขึ้นโดยพื้นฐานมาจากการรวบรวมการบันทึกจากผู้ได้พบเห็นในเขตชนบท บันทึกโดยนักวิทยาศาสตร์ที่ได้เดินทางไปหา ประสบการณ์ส่วนตัวเหล่านี้ค่อยๆ จางหายไปจากการศึกษาเรื่องแผ่นดินไหวจากแรงกดดันในการศึกษาที่ต้องมีความเชี่ยวชาญและความแม่นยำ สองสิ่งนี้ได้ทำให้เกิดแนวทางที่ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นที่จะการันตีความแม่นยำได้ และประสบการณ์ส่วนตัวของผู้คนได้ถูกทำให้เป็นปัจเจก แปลกประหลาด และมีแนวโน้มที่จะผิดพลาด ถึงแม้ว่าเราควรจะคำนึงไว้ว่าแผนที่โลกที่ผิดพลาดและขอบเขตแผ่นธรณีของเราในยุคก่อนหน้าที่ความแม่นยำจะกลายเป็นแนวคิดที่มาปกครองวิทยาศาสตร์ในทุกวันนี้ ความเป็นจริงในแผนที่ของการเคลื่อนตัวของแผ่นธรณีที่เราเห็นทุกวันนี้ก็เป็นการรวมรวมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วจากการกระจายความรู้สึกของร่างกายนี้เอง
มาตราริกเตอร์ (Richter Scale) นั้นจึงเป็นขั้นตอนที่มาเพิ่มเติมในกระบวนการอันยาวนานที่มีต่อมาตราฐานการวัดที่ตัดการใช้เนื้อหนังของคนออกจากการสัมผัสพื้นดิน สิ่งที่ริกเตอร์ได้ทำก็คือการนำรากฐานแบบสมัยใหม่มาสู่หุบเขา San Fernando
เป็นไปได้อย่างไรที่เขาสร้างเครื่องมือที่มาโจมตีการสัมผัสของร่างกายและในเวลาเดียวกันยืนยันที่จะไปผจญภัยแบบเปลื้องผ้าและไปเปลือยกายในหุบเขาได้ ในขณะที่เขาได้ตัดความเชื่อใจในร่างกายมนุษย์ในฐานะอวัยวะหนึ่งที่ใช้ในการเรียนรู้และสัมผัสโลกใบนี้ มันเหมือนกับว่าการเปลือยกายของ Richter เป็นแค่หนทางหนึ่งในการไม่นับถือและไม่เห็นคุณค่าร่างกายตนเอง จะปลดปล่อยร่างกายหรือผลผลิตของร่างกาย หรือว่าจะยอมให้การเปลื้องผ้าง่ายๆ ที่ถูกมองว่าเป็นเรื่องไม่ดีเป็นการปลดปล่อย ปลดแอกแต่ด้วยความจำเป็นในการรู้สึก หรือว่าการเปลื้องผ้านับว่าเป็นความบริสุทธิ์เหมือนความรู้สึกในสวนก่อนที่ฤดูใบไม้ร่วงจะมาเยือน หรือว่าการเปลือยกายที่ไม่ใช่การเปลือยกายในภูมิทัศน์เกิดจากการขาดความรู้เกี่ยวกับการเปลือยกาย มันคือการเปลือยกายที่ไม่ได้อยู่แค่เนื้อหนัง เพราะก่อนที่เนื้อหนังจะเต็มไปด้วยการ ‘เปิดโปง’ หรือ ‘โป๊’ การเปลือยกายเป็นแค่การเปลือยกายที่ไม่มีโลกใดๆ มาแทรกแซงและมาทำให้เสื่อมเสีย
การเปลื้องผ้าในภูมิทัศน์เกิดขึ้นในสภาวะนี้ และคาบเกี่ยวระหว่างการเปิดเผยที่นับว่าเป็นความอ่อนแอและการเปิดเผยที่นับว่าเป็นความรุนแรง การเปิดเผยที่นับว่าเป็นความรุนแรงนั้นถูกผลักดันมาจากความต้องการที่จะเปิด ความต้องการที่จะสร้างโลกที่ทุกอย่างมีไว้ให้เห็นและตีแผ่แผนผังและการทำงานข้างในให้หมด เหมือนกับว่าโลกนี้กลายเป็นโลกที่โปร่งแสง สิ่งที่ซ่อนอยู่ด้านในคือความต้องการที่จะสื่อสาร ความต้องการที่อยากจะทลายระยะห่างระหว่างมนุษย์และโลกใบนี้เพื่อความรู้ที่จะสร้างสะพานเชื่อมความโดดเดี่ยวที่อยู่ข้างใน การเปลือยกายก็เช่นกัน ที่กำลังแสวงหารูปแบบในการมีส่วนร่วม ลักษณะในการอยู่ด้วยกัน และสัมผัสที่จะใช้ในการโอบกอดโลกของเรา